เทศน์พระ

ล่าฝัน

๖ ส.ค. ๒๕๕๖

 

ล่าฝัน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจนะ เพราะมา ๑ ปักษ์แล้ว เพราะ ๑ พรรษา เห็นไหม ๑ พรรษา ๙๐ วัน ๑ พรรษาลืมไป แป๊บเดียวออกพรรษานะ ฉะนั้นนี่เข้ามา ๑ ปักษ์ เหลืออีก ๕ ปักษ์ ๕ ปักษ์จบ ออกพรรษา

๑ ปักษ์เห็นไหม แล้ว ๑ ปักษ์นี่วันนี้วันอุโบสถ ถ้าวันอุโบสถนะ อุโบสถสังฆกรรม เวลาเราปฏิบัติไปแล้วเขาลงอุโบสถสังฆกรรม สวดปาฏิโมกข์ สวดปาฏิโมกข์คือศีล ๒๒๗ ของพระ ถ้าพระเป็นอาบัติสิ่งใดตรวจสอบกัน ถ้าตรวจสอบสิ่งใดผิดมันสะกิดเลย นี่สิ่งที่ว่า เราถามเธอครั้งที่ ๑ ถามเธอครั้งที่ ๒ ถามเธอครั้งที่ ๓ นี่ สาธุๆ เห็นไหม สิ่งใดตรวจสอบแล้ว ถ้าตรวจสอบอย่างนี้แล้วศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้าศีลมันเป็นความปกติ เราทำเราจะไปปฏิบัติ เราทำสมาธิของเรา ถ้าทำสมาธิของเรา ถ้าฝึกหัด เวลาทำสมาธิมันได้สมาธิแล้วให้เกิดปัญญา ถ้าเกิดปัญญา ปัญญาที่มันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาชำระล้าง ชำระล้างความสงสัย นี่นิวรณธรรม

นิวรณธรรม เห็นไหม สิ่งที่เกิดนิวรณ์ เกิดต่างๆ เกิดความลังเลสงสัย เกิดง่วงเหงาหาวนอน เกิดต่างๆ นิวรณ์มันปิดกั้น ถ้าทำสมาธิขึ้นมาสมาธิก็เพื่อมาชำระล้างสิ่งนี้ ถ้าชำระล้างสิ่งนี้นะ นี่เรามีเป้าหมายใช่ไหม ตั้งแต่เราบวชเรามีเป้าหมายของเราว่า เราบวชมาแล้วเราจะประพฤติปฏิบัติ เราปฏิบัติของเรา เราจะเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราจะมีคุณธรรมในหัวใจของเรา ถ้ามีคุณธรรม นี้คืออะไร คือเป้าหมาย

เป้าหมายคือความฝันอันสูงส่ง เรามีความฝันของเรา เรามีความปรารถนาของเรา มีเป้าหมายของเรา เราจะปฏิบัติของเรา นี่เรามีความฝัน แล้วเราจะต้องทำความฝันให้เป็นความจริง ถ้าทำความฝันให้เป็นความจริง เห็นไหม สิ่งที่เป็นความจริง เราจะทำความจริงขึ้นมา ความจริงของใคร ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมาเป็นความจริงของท่าน ถ้าเป็นความจริงของท่าน มันยืนยันในใจของท่าน ถ้าเป็นความจริงของท่านมันมีร่องมีรอยของท่าน มันมีความมั่นคงของท่าน ไม่มีความที่มันจะเอนเอียงไปทางใด โลกจะชักนำไปไม่ได้

ดูสิ เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราไม่มีคุณธรรมในหัวใจของเรา เห็นไหม สิ่งใดมานี่ไหลไปตามเขาหมด โลกเป็นใหญ่ๆ โลกมานี่เห็นไหมเราเป็นเหยื่อเลยนะ โฆษบุรุษ ตายเพราะลาภ ตายเพราะเหยื่อ เราเป็นโฆษบุรุษ เราไม่มีหลักมีเกณฑ์ของเราใช่ไหม เราหวั่นไหวไปกับโลกเขาใช่ไหม เราหวั่นไหวเพราะอะไร เพราะเราไม่มีความจริงในหัวใจไง แต่ถ้าเรามีความจริงในหัวใจเราจะหวั่นไหวไปกับใคร เรามีความฝันของเรานะ

ถ้าเรามีความฝันของเรา เราจะล่าความฝัน เราล่าความฝัน เราจะสร้างความฝันให้เป็นความจริง ถ้าความฝันเป็นจริง เห็นไหม นี่ดูสิ เวลาวันเข้าพรรษา เราอธิษฐานพรรษากัน เราอธิษฐานธุดงค์กัน ธุดงค์ไง เป็นเครื่องขัดเกลาไง บั่นทอนมัน บั่นทอนให้กิเลสตัณหาทะยานอยาก ไอ้ความอัตตา อัตกิลมถานุโยค เห็นไหม อัตตา อัตตาตัวตน สิ่งนี้ต่างๆ เราจะบั่นทอนมัน บั่นทอนมัน บั่นทอนด้วยข้อวัตรปฏิบัติไง ธุดงควัตรๆ นี่เครื่องขัดเกลาๆ จะขัดเกลากิเลสของเรา ถ้าขัดเกลากิเลส เราจะล่าความฝันของเรา เราจะเอาความจริงของเราให้เกิดขึ้นมา

ถ้าเป็นความจริงของเราขึ้นมา ถ้ามีสติขึ้นมามันยับยั้งสิ่งนี้ได้ ถ้ายับยั้งสิ่งนี้ได้ แล้วยับยั้ง นี่ดูสิตำรามันก็เป็นตำรา ศึกษามาก็ศึกษามา เวลามันสงสัยๆ จิตใจของเรานี่ มันเลื่อนลอย มันไม่มีหลักเลย ไม่มีทำสิ่งใดได้เลย ถ้ามีสติขึ้นมา สติมันยับยั้งขึ้นมา ถ้ามีกำลังของเรา เรากำหนดพุทโธของเรานะ เวลาสินค้าที่เขาจะส่งออกนอก เขาต้องมีถิ่นเกิด เห็นไหม เขาต้องทำจากที่ไหน? ทำอย่างใด? มันต้องมีถิ่นกำเนิดของมัน

อันนี้มันเป็นผลของวัฏฏะไง ถิ่นกำเนิดก็เกิดมาจากพ่อแม่ เวลาบวชก็บวชมาจากอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์นี่ตกฟากเลยล่ะ เวลาเท่าไหร่ ญัตติเมื่อไหร่ เสร็จเมื่อไหร่ นี่มันเรื่องโลกๆ ทั้งนั้น พอเรื่องโลกๆ ทั้งนั้น แล้วเราคือใคร เห็นไหม เราเป็นพระ ก. ฉายาอย่างนั้น พระ ข. ฉายาอย่างนั้น สิ่งนี้มันถูกต้องตามกฎหมาย ถูกต้องตามธรรมวินัย ถูกต้องตามกฎหมายแล้วจิตของเราล่ะ แล้วตัวตนของเราล่ะ

เรามีพ่อมีแม่นะ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็เรียกร้องหาพ่อหาแม่ เวลาเกิดขึ้นมาพ่อแม่ก็เลี้ยงดูมา เรามีพ่อมีแม่เราก็คิดถึงพ่อถึงแม่เรา เวลาบวชมาแล้วนี่ ถ้ามีอุปัชฌาย์อาจารย์ก็คิดถึงอุปัชฌาย์เป็นที่พึ่งของเรา อุปัชฌาย์อาจารย์ก็เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ ท่านก็บอกเราเหมือนพ่อเหมือนแม่

แต่ของเราล่ะ ถ้าเราล่าฝันนะ สิ่งที่เป็นความจริงจริงตามสมมุติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “จริงตามสมมุติ” แต่ความจริงจริงตามสมมุติ สมมุติบัญญัติ พอบัญญัติขึ้นมาก็เป็นศัพท์บัญญัติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราศึกษากันอยู่นี่ แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นไปสมมุติบัญญัติ แล้วเป็นความจริงล่ะ สิ่งที่เป็นจริง สติ สมาธิ ปัญญา

สติ สมาธิ ปัญญา ความจริงมันเกิดขึ้นมาจากไหน ถ้าความจริง ถ้ามีสติ อือ! ถ้ามีสติเท่านั้นแหละ มันทำอะไรความผิดพลาดมันก็ไม่มี ความผิดพลาดนี้น้อยมาก ถ้ามีสตินะ จะลุกจะนั่งจะเดินมันเพียบพร้อมไปหมด มันเพียบพร้อมเพราะมันรู้ไง พอมีสติขึ้นมามันรู้เท่าหมดเลย ถ้าทำอย่างนี้มันถูก ทำอย่างนี้มันผิด ผิดคืออะไร ผิดคือมันลื่นล้มไง ผิดคือมันล้มลุกคลุกคลานไง ผิดก็มันหัวคะมำไง

แต่ถ้ามันถูกล่ะ ถูกน่ะ นั่งลุกด้วยสติด้วยปัญญา เวลาคิดก็คิดด้วยสติ ด้วยปัญญา พอมีสติขึ้นมา ความรู้สึกนึกคิดมันอยู่ในร่องในรอย นี่อยู่ในร่องในรอยมันเป็นสมาธิหรือยัง มันเป็นสมาธิหรือยัง ถ้ามีสติ เห็นไหม เรามีกำหนด เรามีความตั้งใจ มีตั้งใจเรากำหนดคำบริกรรมของเรา คำบริกรรมๆ นี่ ทำไมต้องบริกรรม จิตนี่จิตมันส่งออก พลังงานมันไปนี่เราไม่มีอะไรตรวจสอบมันได้เลย

ดูสิ เวลาความร้อนในรถเวลาเกย์มันขึ้น เครื่องมันร้อนเดี๋ยวมันก็จะพังแล้ว นี่มันพังมันระเบิดขึ้นมา มันก็เสียก็เอาไปซ่อม ซ่อมก็จบ เวลาคนเรามันเร่าร้อนขึ้นมามันก็มีความทุกข์ในใจ นี่พลังงาน พลังงานนี้เราเอาอะไรไปวัดมัน เอาอะไรไปวัดมันว่าพลังงานมีมากน้อยมีแค่ไหน มันไปโดยธรรมชาติของมัน เครื่องยนต์กลไกเขาประดิษฐ์ขึ้นมา เทคโนโลยีเขาคิดขึ้นมาเขาประกอบขึ้นมามันมีเครื่องยนต์กลไก มันมีกำลังของมัน มันมีแรงของมัน

แต่จิตใจของเราล่ะ เวลาจิต ปฏิสนธิจิตมันเกิดในครรภ์ เกิดในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ สิ่งนี้มันเกิดมามันอยู่ไหน? มันอยู่ไหน? เวลารู้สึกนึกคิด รู้สึกนึกคิดมันไม่เห็นตัวมันไง กิเลสมันบังไว้หมด มันไม่รู้จักตัวตนของมัน มันไม่เคยเห็นจิตของมัน ตัวเราเองนี่ไม่รู้จักตัวเราเอง ศึกษามาไม่รู้จักตัวเราเอง ถ้ามีสติมีปัญญาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาระลึกถึงสิ่งใดแล้ว ฮื่อๆๆ ขนาดฮื่อๆ นี่มันมหัศจรรย์แล้ว

แต่ถ้าเข้าไปเจอตัวมันล่ะ ถ้าไปเจอตัวมัน นี่ล่าฝันเลย ความฝันนี่ ความฝันต้องล่า ความฝันนี่ ฝันจินตนาการของเรา มีเป้าหมายของเรา จะล่าฝันของเรา จะทำความจริงของเราขึ้นมาให้ได้ เวลามีสติขึ้นมา ถ้ามันกำลังพุทโธๆๆ ถ้ามันพุทโธๆ แล้วมันย้ำอยู่กับที่นะ กำลังที่มันเคยส่งออกไปแล้วมันย่ำอยู่กับที่ ย่ำอยู่กับที่มันก็แปลกประหลาดแล้ว แค่มันอยู่กับที่นี่มันเริ่มมีกำลังของมันแล้ว แล้วถ้าเกิดเป็นขณิกะ อุปจาระ อัปปนา มันสงบเข้ามาตามความเป็นจริงนะ

ถ้าตามความเป็นจริงเราคาดหมายไม่ได้เลย ศึกษามาจน ๙ ประโยคก็แล้วแต่ แต่เวลาจิตเป็นสมาธิไม่รู้จักสมาธิหรอก สมาธิเป็นอย่างไร นี่งงน่ะ ศึกษามา ๙ ประโยคมันรู้ทุกอย่าง แต่เวลาจิตจะเป็นสมาธิขึ้นมา นี่มันคืออะไร? นี่มันคืออะไร? มันมหัศจรรย์ นี่ไง นี่ไง ความเป็นจริงไง ข้อเท็จจริงที่มันเป็นจริงขึ้นมามันเป็นแบบนี้

แต่ที่ศึกษามาๆ นั่นความฝันทั้งนั้น เพราะมันเป็นสัญญา จำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ทั้งที่เป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เป็นความฝันของเรา ถ้าเป็นความฝันของเรา เพราะเราศึกษามาเรามีเป้าหมายใช่ไหม เราถึงมีความจงใจ มีความกระทำให้เป็นเช่นนั้น ถ้ามีการกระทำเช่นนั้น นี่ภาคปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นความจริงอย่างนี้ ถ้าเป็นความจริงอย่างนี้

ฟังสิ่งใด เห็นไหม เรามีวุฒิภาวะขนาดไหน เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการมา เราเข้าใจตามได้หมดเลย อ้อ! มันเป็นอย่างนั้น มันเข้าใจ มันเข้าใจมันไม่สงสัยเลย แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งใดเลย เห็นไหม เหมือนผู้ใหญ่คุยกับเด็ก ผู้ใหญ่นี่เขาเที่ยวมารอบโลก เด็กมันไม่เคยออกนอกบ้านไม่ไปไหนเลย เวลาพูดมานี่มันก็จินตนาการข้างในบ้านมันน่ะ เหมือนอย่างนั้น เหมือนของสิ่งที่ในบ้านที่มันรู้มันเห็นขึ้นมา แต่ผู้ใหญ่นี่เขามารอบโลก เขาไปเที่ยวมารอบโลกแล้ว

จิตก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมามันรู้นี่ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันไปรู้ไปเห็นมาหมด ไปรู้ไปเห็น ทำไมต้องไปรู้ไปเห็นด้วยล่ะ การปฏิบัตินี่พุทธศาสน์ มันเป็นเรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทำไมต้องไปรอบรู้ข้างนอกด้วยล่ะ ความไปรับรู้ข้างนอก จิตถ้ามันมีอำนาจวาสนาของมันมันเป็นของมัน นี่เพราะอะไร เพราะอะไร เพราะถ้ามีเรา เห็นไหม เพราะมีเราถึงมีสรรพสิ่งถึงมีโลกธาตุนี้ กามภพ รูปภพ มีเพราะใคร กามภพ รูปภพ มันมีของมันอยู่อย่างนั้น

องค์สมเด็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วถึงเห็นนรกสวรรค์ต่างๆ มันมีของมันอยู่แล้วอย่างนั้น มันมีของมันอยู่อย่างนั้น มันมีของมันอยู่เช่นนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วตรัสรู้ธรรมตรัสรู้ธรรมที่ไหน ตรัสรู้ธรรมคือตรัสรู้ธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะในใจนี้ ปฏิสนธิจิตนี้เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ นี่เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ มันเคยอยู่ชาติไหน ภพไหน มันรู้มันเห็นของมัน

เวลาเข้ามานี่บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติรู้เห็นของมัน ถ้าเวลาชำระล้างกิเลส อวิชชาสิ่งที่มันเวียนตายเวียนเกิดเพราะมันมีอดีตมา เพราะอดีตมา เห็นไหม นี่ย้อนกลับมาที่เป็นปัจจุบันแล้วทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นสุดไปแล้ว เห็นไหม นี่มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันเห็นของมันอยู่อย่างนั้น

ฉะนั้น ผู้ที่ครูบาอาจารย์เราท่านปฏิบัติมา ท่านเที่ยวมารอบโลกๆ มันจำเป็นต้องไปอย่างนั้นด้วยหรือ มันไม่จำเป็นต้องไปอย่างนั้น แต่มันมีของมันอยู่อย่างนั้น ใครมีอำนาจวาสนาจะไปรู้ไปเห็นอย่างนั้น รู้เห็นว่ามันเป็นประสบการณ์ เห็นไหม ประสบการณ์ที่ว่า ถ้าโลกเขาเป็นแบบนี้ นี้ไงที่เขาบอกว่าอดีตอนาคต ดูสิ จะไปสวรรค์ ไปอินทร์ ไปพรหมต่างๆ สิ่งนั้นถ้าเราเป็นปัจจุบันอยู่นี้เราจบที่นี้แล้วนี่มันจะไปไหน มันจะไปไหน มันไม่ไปไหน

สิ่งที่ไปไหนมันเป็นผลของวัฏฏะ เพราะทำบุญกุศลมาถึงเป็นไปแบบนั้น ทำบาปอกุศลมันก็ตกนรกอเวจีของมัน เป็นธรรมชาติของมัน ใครจะปฏิเสธหรือไม่ปฏิเสธมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น นี่พูดถึงผลของวัฏฏะ นี้มันเป็นความจริงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วรู้เห็นตามความเป็นจริง ถ้ารู้เห็นตามความจริง แล้วปฏิบัติขึ้นมา

เราปฏิบัติมานี่ เราเป็นโลก เราเป็นโลกหมายถึงว่าจิตของเรามันมีแรงขับ มันมีอดีตอนาคตของมัน อดีตก็คือที่เราสร้างสมมาตั้งแต่อดีตชาติมา ตั้งแต่ก่อนที่เราจะมาบวช เราเป็นฆราวาสมา เราเติบโตมาอย่างไร ภูมิหลังของเราสิ่งนี้จะฝังใจของเรามา ทุกคนมันมีมาอย่างนี้ทั้งนั้นล่ะ แล้วเวลามาบวชขึ้นมา แล้วมาเป็นปัจจุบันนี่เราเป็นพระ

ถ้าเป็นพระขึ้นมา เราจะมาล่าฝันของเรา เราจะเป็นความฝันขึ้นมา ให้มันเจิดจ้าขึ้นมา ให้มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา ให้มันเห็นเฉพาะหน้าความจริงของเราขึ้นมา พอทำขึ้นมาแล้วทีนี้จะเข้ามามันก็มีกิเลส กิเลส เห็นไหม กิเลสนี้เป็นชื่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งชื่อให้ ตั้งชื่อให้ว่าสิ่งที่เป็นมาร สิ่งที่มันเป็นอกุศล สิ่งที่มันเป็นสิ่งที่มันผลักไส สิ่งที่มันเป็นการปิดกั้นในหัวใจเรา นั้นคือมาร นั่นคือกิเลส สิ่งนี้มันปิดกั้นของมันไว้ พอปิดกั้นของมันไว้เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันมีประจำหัวใจสัตว์โลก มีประจำของสัตว์โลกมันก็แสดงออกอย่างนั้น สิ่งที่เป็นมารนี้มันแสดงออกได้ง่าย เราไม่ต้องปรารถนามัน ของไม่ดีไม่ต้องปรารถนามัน มันมีหมดเลย

ดูสิ ทางโลกเขา เห็นไหม ดูสิ หญ้าคาต่างๆ พวกหญ้า พวกสิ่งวัชพืชที่เขาไม่ต้องการมันมีเต็มไปหมด แต่ข้าวปลาอาหารสิ่งที่เป็นอาหารมันหาได้ยากๆ เราต้องปลูกเอง เราต้องดูแลเอง เราต้องรักษาเอง

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นคุณงามความดีเป็นธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญามันจะเกิดขึ้นมาเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาตามความเป็นจริง แล้ววางอย่างนี้ไว้ให้เราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ทีนี้เราเกิดมาเรามีแรงขับ เรามีอวิชชามารในหัวใจของเรา อวิชชามันก็ปิดกั้น ปิดกั้นคือมันทำลาย มันพยายามผลักไส พยายามไม่ให้เราสมความปรารถนา

ฉะนั้น เวลาเรากำหนดพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ สิ่งนี้มันถึงขับไสไง สิ่งนี้ขับไสถึงบิดเบือนไง ถึงบอกว่า นี่ไง สิ่งที่เรามีเจตนาดี เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ในทศชาติ เห็นไหม สิ่งที่อธิษฐานมา อธิษฐานบารมี ทานบารมี ศีลบารมี สิ่งที่เป็นบารมีธรรมสร้างสมมา สร้างสมสิ่งนี้มานะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันจะเป็นความจริง เป็นความจริงเพราะมันมีกำลัง มีการส่งเสริมสิ่งนี้มา

เวลาของเราล่ะ เวลาของเรา เห็นไหม เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา กิเลสอวิชชามันมาปิดกั้นหัวใจของเรา พอปิดกั้นหัวใจของเรา เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นสาวกสาวกะเราได้ศึกษา พอศึกษามันก็มีความฝันไง มันก็มีแรงปรารถนาไง มันมีความต้องการไง แต่ความต้องการต้องการนั้นเกิดขึ้นมาอย่างไร? เกิดขึ้นมาจากสติ เกิดขึ้นมาจากปัญญาที่มันคิดระลึกคุณงามความดีได้

แต่เวลามันเป็นมารๆ นี่วัชพืชต่างๆ มันเกิดขึ้นมามันปกคลุมไปหมดในหัวใจของเรา เห็นไหม เวลาเราปฏิบัติพุทโธมันก็ล้มลุกคลุกคลาน ปัญญาอบรมสมาธินะ เวลาเกิดใช้ปัญญาขึ้นมามันก็เป็นปัญญาของกิเลสหมดเลย ใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ปัญญานั้นมันก็ตอกย้ำ ปัญญานั้นมันก็ทำเจ็บช้ำ ปัญญานั้นมันทำให้เราไปอนาคต ปัญญานั้นมันทำให้เราไม่อยู่ปัจจุบัน

นี่เราจะมีสติปัญญาอย่างไรเพื่อจะรักษาดูแลหัวใจของเราอย่างไร ถ้าทำของเรา เห็นไหม การจะล่าฝันนะ ดูสิ ทางโลกเขานี่เขาตั้งเป้าหมายชีวิตของเขาแล้ว เขามีความฝันของเขา แล้วเขาจะทำความฝันให้เป็นความจริงของเขา เขาล่าฝันของเขา แล้วบางคนประสบความสำเร็จของเขา บางคนทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จถึงกับน้อยเนื้อต่ำใจ ถึงกับทำลายตัวเองไปก็มี

นี่มันจะล่าฝัน คนเรามันออกไปเผชิญกับชีวิตไหม นี่ชีวิตของเรา เราย้ายถิ่นฐานไปเพื่อจะไปหาประสบความสำเร็จกับชีวิต แล้วมันประสบความสำเร็จก็มี ไปแล้วนี่ไม่สมความปรารถนามาก็มี อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะล่าฝันของเรา เราจะมีความปรารถนาของเรา เพื่อปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม ความจริงมันเป็นความจริงของเรา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกไม่ต้องไปหา

โลกเขาจะทำสิ่งใดเขาต้องหาอุปกรณ์ของเขา เขาจะลงทุนลงแรงของเขา เขาก็ต้องหาทุนของเขาเพื่อมาทำธุรกิจของเขา แต่ถ้าของเราล่ะ เราพร้อมมาแล้วมีกายกับใจ กายกับใจนี่ บวชมา เห็นไหม ถ้าเราบวชมา อุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ มนุสโสสิ เป็นมนุษย์จริงหรือ เป็นมันเป็นพร้อมไง เธอเป็นอะไรมานี่ อามะภันเตๆ มาตลอด นี่เราสมบูรณ์มาตลอด มีกายกับใจเป็นต้นทุน ต้นทุนเราพร้อมแล้ว พอต้นทุนเราพร้อมแล้วเราบวชมา เห็นไหม อุปัชฌาย์ให้มาแล้ว เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่กรรมฐาน ๕

ถ้ากรรมฐาน ๕ สิ่งนี้คือการถ้าจิตมันสงบเราใช้วิปัสสนา แต่ถ้าเราใช้กรรมฐาน ๕ เป็นคำบริกรรม มันก็เป็นสมถะเหมือนกัน แต่ถ้าเรามีแรงปรารถนา เรามีครูบาอาจารย์เพราะครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมาแล้ว อุปัชฌาย์นี่ อุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่มา ด้วยญัตติจตุตถกรรม ด้วยวินัยกรรม ด้วยสังฆกรรม นี้ด้วยวินัยกรรมให้สมบูรณ์มาเป็นพระ

แต่ถ้าอุปัชฌาย์อาจารย์ของเรา พอบวชมาแล้วท่านจะทำต่อเนื่องกันไป เพราะเป็นพระแล้ว เป็นพระแล้วเป็นนักรบแล้ว เป็นนักรบแล้วเราจะเอาชนะเราแล้ว เราจะล่าฝันของเราแล้ว ถ้าล่าฝันของเราแล้วนี่ คนจะฝันเขาต้องนอนหลับ คนนอนหลับมันถึงฝัน ถ้าคนไม่หลับมันฝันดิบๆ ฝันดิบคือความคิดนี่ ฝันดิบฝันสุกของเรา ถ้าเราจะล่าฝันดิบๆนี่ เราจะเอาความจริงต่อหน้า เราไม่ใช่นอนหลับแล้วฝัน เพราะนอนหลับแล้วฝันนี่มันจะเอามาเป็นประโยชน์กับการปฏิบัติไม่ได้

เวลานอนหลับมันฝันนะ พอฝันขึ้นไปนี่ เห็นไหม เราคิดสิ่งใดมีสิ่งใดฝังใจเรา เวลานอนหลับนี่ฝันไปเลย พอฝันไปเลยมีสติควบคุมได้ไหม แล้วบางคนบอกว่า “ผมฝันนะแล้วผมยังคุมของผมได้นะ ผมภาวนาในความฝัน” มันเป็นไปได้ยาก เพราะว่าสติในปัจจุบันนี้เรายังรักษาได้ยากเลย แล้วฝันนี่ คนหลับ คนหลับคือขาดสติ

ถ้ามีสติอยู่ พุทโธๆๆ พุทโธจนม่อยหลับไปเลย เห็นไหม คนเรานอนหลับไม่ได้ ก็พุทโธๆ จนหลับไป พุทโธก็เลยกลายเป็นยานอนหลับ แต่เวลาเราปฏิบัติพุทโธๆๆ ถ้าเราขาดสติเหมือนตกภวังค์ นั่งๆ อยู่นี่นั่งหลับ! นั่งอยู่นี่ วับหายไปเลย นี่มันเป็นภวังค์ไง มันไม่เป็นสมาธิไง มันเป็นมิจฉาไป

แต่ถ้ามีสตินะ มีสติสมบูรณ์พุทโธๆๆ ปัญญาอบรมสมาธิเข้าไป มันพร้อมไปเลยน่ะ มันลงสมาธิ มันรู้ตัวทั่วพร้อม มันรู้ชัดเจนของมัน สมาธิคือจิตที่สงบ จิตที่มันไม่เสวยอารมณ์ มันไม่สื่ออารมณ์มาให้จิตนี้มันมีกำลัง ให้จิตนี้ส่งออกไป ถ้ามันสื่อ สื่อก็คือไฟที่มันเสียบคัทเอาท์แล้วพลังงานมันก็ไหลไปตามสายส่งของมัน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันสับคัทเอาท์มันก็ไป ถ้าตัดคัทเอาท์มันก็ไม่ไป ถ้าตัดคัทเอาท์ พุทโธๆๆ อยู่กับมัน อยู่กับมันนี่มันไม่สื่อออกไป ถ้ามันไม่สื่อออกไปมันมีไฟไหม? มี นี่ไม่สื่อออกไปจับสิ ช็อตตายเลย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าพุทโธๆๆๆ พุทโธไปนี่ พุทโธมันไม่สื่ออารมณ์ออกไป ไม่สื่อคือไม่เสวย ไม่เสวยคือไม่ส่งออก ไม่ส่งออกคือไม่ไปรับรู้ข้างนอก ถ้ารับรู้ข้างนอก เห็นไหม พลังงานมันก็จะอยู่ของมัน นี่พุทโธอย่างนี้ พุทโธของเราไป เราจะล่าฝันของเราความฝันให้มันเป็นความจริง เราฝันใช่ไหม ฝันว่าอยากได้มรรคได้ผล เราฝันว่าเราจะมีคุณธรรมในหัวใจของเรา ที่เรามาลงทุนลงแรงนี่มาทำไม

บวชมาเป็นพระ พระนี่งานของพระคืออะไร? งานของพระคือนั่งสมาธิภาวนา นี่งานของพระ งานข้อวัตรปฏิบัตินั้น นั่นข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติเพราะอะไร เพราะเราเป็นสังฆะ นกยังมีรวงมีรัง พระก็ต้องมีที่พึ่งที่อาศัย เวลาเขาทำบุญกุศลเขาสร้างกุฎิวิหารไว้ให้พระอยู่ ถ้าพระอยู่พระก็ต้องดูแลรักษา ดูแลรักษาสิ่งนั้นรักษามาเพื่ออยู่อาศัย ไม่ใช่รักษามาเพื่อเป็นขี้ข้ามันเป็นทาสมัน เป็นทาสอะไร เป็นทาสเพราะเอาสิ่งนั้นมาเป็นการประกาศคุณงามความดีไง

นี่ดูสิ เวลาเขาอยู่กันน่ะ โบสถ์วิหารนี่อยู่กันยังกับวิมาน แต่ตัวเราในหัวใจเรามันเร่าร้อน ในหัวใจมันเป็นทุกข์ ครูบาอาจารย์ท่านอยู่โคนไม้ หลวงปู่มั่น ไปดูกุฎิหลวงปู่มั่นสิ ไม้สองสามแผ่นแปะๆ เข้าไป แต่เทวดา อินทร์ พรหมต้องมาฟังเทศน์

นี่งานของพระ งานของพระ งานของพระคืองานในหัวใจนี้ ถ้าหัวใจเป็นคุณธรรม หัวใจมันสว่างไสว หัวใจมันผ่องใส หัวใจมีคุณประโยชน์อันนั้น นี่เราจะล่าความฝันของเรานะ ถ้าผู้ปฏิบัติไม่เป็นมันเป็นความฝัน แต่ถ้าผู้ปฏิบัติเป็นความจริง มันเป็นความฝันไหม? มันเป็นความจริง

นี่จิต เห็นไหม ดูตาบอดคลำช้าง ถ้าจิตมันบอด มันไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดของมัน มันบอดของมัน มันบอดของมันมันจะสว่างไสวได้อย่างไร ในเมื่อหัวใจมันยังบอด ตัวเองไม่รู้จักตัวเอง ตัวเราเองยังควบคุมตัวเองไม่ได้ ตัวเราเองยังไม่มีคุณค่าในตัวเราเองเลย แล้วจะให้ใครเขามายอมรับตัวเอง ถ้าตัวเอง เห็นไหม

ดูสิ ตัวของเราเอง ตัวตนของเรานี่ ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา ในเมื่อตัวตนของเราเองน่ะเราดูแลรักษาของเราได้ ใครมันจะเหยียบย่ำทำลายขนาดไหน ใครมันจะดูถูกเหยียดหยามมันเรื่องของมัน เรื่องของมัน แต่เรื่องของเรา เรื่องของใจ ถ้ามันล่าฝันของมันเจอนะ ถ้ามันล่าฝันของมันได้แล้วนี่ ความจริงมันเกิดขึ้นมาจากใจนี้ ถ้าความจริงเกิดขึ้นในใจนี้มันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงขึ้นมามันสว่างไสวไง ในเมื่อมันสว่างไสวมันเห็นคุณค่าไปหมด เห็นคุณค่าของใจ แล้วคุณค่าของใจ ถ้ารู้รักษาถูกต้องมันก็ผ่องใส มันก็ดีงามของมันอยู่อย่างนี้ ถ้าเรารักษามันให้ถูกต้อง เห็นไหม เราเห็นคุณค่าอย่างอื่น

ดูสิ เวลาโลกเขาแข่งขันกัน เขาจะเอายศถาบรรดาศักดิ์กัน เขาวัดกันตรงนั้นหรือ โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ แล้วไปแสวงหาสิ่งนั้นมา แสวงหาสิ่งนั้นมาเหยียบย่ำหัวใจทำไม แต่ถ้าคนที่ทำคุณงามความดี คุณงามความดีแล้วนี่ ได้มาโดยธรรมๆ เขาได้มาโดยธรรม เพราะเขาเชิดชู เห็นไหม สมณะศักดิ์ๆ เขาเชิดชู ถ้าเขาเชิดชูก็อย่ากดขี่สิ เชิดชูน่ะ เชิดชูต้องให้เป็นธรรมสิ เป็นธรรมคือยอมรับความจริงอันนั้น ฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสังคมโลก

แล้วสังคมหัวใจเราล่ะ ในใจเรานี่มันทุกข์มันยากไหม ถ้าในใจเรามันทุกข์มันยากนะ เราจะล่าฝันของเรานะ ถ้าล่าความฝันของเรา เห็นไหม ดูสิ คนจะฝันเขาต้องนอน เขานอนของเขา ร่มเย็นเป็นสุขของเขา เขาจะหลับไหลไปของเขา เขาจะเพ้อฝันของเขาไป นั้นมันเป็นความฝันของโลก แต่ถ้าเป็นแรงปรารถนา เป็นอธิษฐานบารมี บารมีของเรา เห็นไหม เราจะนอนไม่ได้ เราจะนั่งสมาธิ เดินจงกรม เห็นไหม นี่อิริยาบถ ๔

อิริยาบถ ๔ มันเป็นอิริยาบถเท่านั้น อิริยาบถเพื่อจะรักษาใจของตัว เพราะมีใจอิริยาบถนี้มันถึงเกิดขึ้น เพราะมีใจถึงมีชีวิต เพราะเรามีใจ เห็นไหม เพราะหัวใจยังอยู่กับเรา ร่างกายนี้มันยังเคลื่อนไหวได้ เพราะร่างกายเคลื่อนไหวได้ เพราะร่างกายเคลื่อนไหว เห็นไหม ดูสิ สถานะของมนุษย์มันก็ใช้ชีวิตของเราไปแบบนี้ แล้วพระกับมนุษย์ต่างกันตรงไหน

ดูสิ มนุษย์เขาก็เป็นคนเหมือนกัน เวลาโกนหัวห่มผ้าเหลืองก็เป็นพระ พอเป็นพระขึ้นมา แล้วเป็นพระมันจะมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหนล่ะ ถ้าเป็นพระขึ้นมา เห็นไหม อิริยาบถนี่ มันก็อิริยาบถเพื่อรักษา เพื่อเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเพื่อเอาใจให้สงบ อิริยาบถ ถ้าคนตาย คนตายมันทำอะไรไม่ได้ ฉะนั้นเวลาคนมีชีวิตอยู่ เรานั่งสมาธิภาวนาก็เพื่อให้จิตสงบ

ฉะนั้น การนั่งสมาธิภาวนาเรานั่งเพื่ออะไร? เราทำเพื่ออะไร? เราทำเพื่อจิตใจของเราสงบขึ้นมา เราไม่ใช่นอน อิริยาบท ๔ อิริยาบถ ๔ นอนนี่มันจะหลับไปเลย อิริยาบถ ๔ เห็นไหม ดูสิ เวลาเนสัชชิกไม่นอนๆ เพื่ออะไร? เพื่อค้นคว้าใจของตัว ถ้าค้นใจของตัวเห็นไหม ความจริงเกิดแล้ว ความจริงมันเกิด คนเขาจะเขียนหนังสือ เขาต้องมีสมุดของเขา

นี่เหมือนกัน จิตใจที่มันจะแก้ไขหัวใจ ถ้ามีสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน งานที่เราจะรักษาดูแลใจ เราหาใจของเราไม่เจอ มันจะไปรักษากันที่ไหน เวลาปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิต เห็นไหม ปฏิสนธิวิญญาณ วิญญาณที่เวียนตายเวียนเกิด ถ้าเราไม่รู้ไม่เห็นมัน เราจะไปแก้ที่ไหน

ดูสิ คนเจ็บไข้ได้ป่วยนะเขาจะฉีดยา เขาจะฉีดยาที่ไหนล่ะ ฉีดยา เห็นไหม ถ้าฉีดไม่ได้ฉีดเข้าเส้นเลือดเลย มันฉีดได้ มันมีที่ฉีดไง เขาฉีดยากินยาก็เพื่อไปรักษาร่างกายนี้ ที่มันเจ็บไข้ได้ป่วยให้มันหายไป หัวใจของเรานี่มันเจ็บไข้ได้ป่วย มันเป็นโรคกิเลส กิเลสมารครอบงำมันอยู่ ถ้ามารครอบงำมันอยู่แล้วมันจะไปรักษากันที่ไหน

นี่ล่าฝันๆ มันจะอยู่ที่ไหน ถ้าจิตมันสงบเข้ามามันเป็นความฝันนะ ไม่ใช่ มันเป็นความจริง สมาธิคือสมาธิ ถ้าสมาธิคือมันเป็นความจริงขึ้นมาแล้วเราจะใช้ปัญญาของเรา นี่เวลาเราฝึกหัดใช้ปัญญานะ ปัญญามันต้องฝึกหัดใช้ตั้งแต่เริ่มต้น ปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นโลกียปัญญา ใช้ปัญญาของเราไป ปัญญานี่มันฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญามันจะไม่ลอยมาจากไหนหรอก คนไม่ฝึกหัด เห็นไหม

ดูสิ ทางโลกเขา เขาบอกว่าคนไม่ได้ใช้ความคิด ผู้เฒ่าผู้แก่เขาให้ใช้ความคิด ให้รู้จักใช้สมอง ถ้าไม่ใช้สมองสมองมันจะฝ่อ นี่ไม่คิดมันยังฝ่อเลย แล้วนี่จิตมันจะใช้ปัญญาๆ เวลาฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญาๆ มันเป็นโลกียปัญญาก็ฝึกหัดใช้มันไป ฝึกหัดใช้มันไป ฝึกหัดใช้ๆ ไม่ให้สมองมันฝ่อ ถ้าฝึกหัดใช้นะแล้วสมองนี่ทำงานได้อย่างไรถ้ามันไม่มีจิต ถ้าไม่มีพลังงานสมองมันจะทำงานได้อย่างไร

ถ้าสมองมันฝ่อมันก็ลากหัวใจออกมา ลากหัวใจมาคิดมาฝึกหัดนี่ พอฝึกหัดๆ ถ้ามันละเอียดเข้าไปๆ เห็นไหม เหมือนพุทโธเลย พุทโธๆๆ พุทโธมันละเอียด พุทโธเริ่มต้นพุทโธมันก็หยาบ พุทโธแล้วมันก็อึดอัด พุทโธแล้วมันก็ขัดข้องไปหมดเลย แต่พุทโธๆ บังคับมันๆ จนมันชำนาญนะ มันทำได้นะ มันอยู่กับพุทโธ มันไม่แฉลบแล้ว มันแปลกประหลาดแล้วนะ พุทโธ พุทโธ พุทโธ เอ่อ มันอยู่กับพุทโธๆ จากหยาบๆ หยาบๆ คือพยายามคิด หยาบๆ พยายามพุทโธ พยายามจะนึกให้ได้ พยายามจะให้อยู่กับมัน

แต่มันก็โดนมารลากไปๆ ก็พยายามอยู่กับมัน จนกำลังของมารมันอ่อนลง เพราะเรามีกำลังมากกว่า เรามีสติมากกว่า มันอยู่กับพุทโธได้ พออยู่กับพุทโธได้ มันพุทโธได้ง่ายขึ้น พุทโธได้สะดวกขึ้น พอพุทโธสะดวกขึ้นมันไม่แฉลบแล้ว เห็นไหม นี่ละเอียดๆ อย่างนี้ไง พุทโธๆๆ พุทโธเพื่ออยู่กับพุทโธแล้ว ทีแรกอยู่กับพุทโธโดยระลึก โดยต่างๆ โดยนึก โดยวิตกวิจารณ์ แต่พอพุทโธๆ ไป เห็นไหม มันชักพุทโธ มันนึกพุทโธได้ แต่มันละเอียดขึ้น มันอยู่กับพุทโธได้ แล้วมันเริ่มหวิวๆ มันเริ่มเบาๆ แล้ว มันเบาๆ เห็นไหมนี่ มันเข้ามาแล้วล่ะ พุทโธๆๆ ละเอียดขึ้นๆ อยู่กับพุทโธอย่าทิ้ง แต่พอพุทโธไม่ได้ก็แหม ตะบี้ตะบันพุทโธ พอพุทโธมันเริ่มคล่องๆ ตัวมันละเอียด... ละเอียด... มันละเอียด ปล่อยมันซะ!

นี่ไง จะล่าฝันก็ฝันไม่ถูกฝันไม่เป็น จะล่าฝันของตัวนี่ทิ้งไม่ได้ พุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ ถ้ามันจะละเอียดเข้ามาๆ ละเอียดขึ้นมามันละเอียดจนมันหวิวๆๆๆ หวิวจนวูบ หวิวจนมันจะเป็นไปไม่ได้เลยล่ะ แต่เวลามันมีสติปัญญาหวิวจนดับ นี่อัปปนาสมาธิ สักแต่ว่ารู้..สักแต่ว่ารู้นี่มันเป็นอย่างนี้ นี่พูดถึงถิ่นกำเนิดไง ปฏิสนธิจิตไง จิตมันอยู่ที่ไหน? สมาธิมันอยู่ที่ไหน? การปฏิบัติมันอยู่ที่ไหน? นี่ถ้ามันเป็นจริงมันเป็นจริงอย่างนี้

ปัญญาอบรมสมาธิ ฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญา คือปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาที่เราฝึกหัดใช้นะ เราฝึกใช้เพื่อให้มีความชำนาญ พอมีความชำนาญขึ้นมามันรู้ถูกรู้ผิด เวลาพุทโธๆ นี่ศรัทธาจริต ศรัทธาจริตเราพยายามเกาะพุทโธไว้ เรายึดของเราไว้ พุทโธได้ ทำได้ นี่งานของพระ

งานอย่างอื่นเราทำมาหมดแล้ว ทุกอย่างเราก็ทำมาหมดแล้ว แต่งานของตัวเองยังไม่ได้ทำ งานของจิตไง งานของตัวเองคืองานปฏิสนธิจิต จิตที่เวียนตายเวียนเกิดนี่ ทั้งๆ ที่มันเป็นคนเวียนตายเวียนเกิด แต่ต้องให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเป็นคนมาบอก บอกว่า “วัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ วัฏฏะมันเป็นอย่างนี้” ทั้งที่มันเป็น กินข้าวแล้วบอกว่าผมกินข้าวยัง ผมกินข้าวยัง ทุกทีเลย ก็กินข้าวอยู่ ไม่ต้องไปถามว่ากินข้าวอะไร

นี่ก็เหมือนกัน ทำให้มันรู้จริงขึ้นมา ถ้ามันรู้จริงขึ้นมา เห็นไหม มันกินข้าวอะไรมันก็รู้เอง นี่มันคืออะไร ก็อยู่ในปากอ่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันละเอียดเข้ามา มันก็รู้ของมันนะ ไอ้นี่มันไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นสักที มันก็เลยงงๆๆ อยู่นี่

ปัญญาอบรมสมาธิ ใช้สติใช้ปัญญารักษาไป ดูแลไป ฝึกหัดใช้ไป ไม่เสียหาย พอไม่เสียหายเพราะปัญญานี่มันแยก เห็นไหม เคยทำมา อย่างนี้มันวูบ อย่างนี้มันละเอียดขึ้น อย่างนี้มันกดทับ อย่างนี้ทำไปแล้วมันอึดอัด นี่ทำไมมันอึดอัด มันใช้ปัญญาเอาอาการ เอาความรู้สึกมาเทียบเคียงกัน ทำไมคราวนี้ทำแล้วมันดี มันดีเพราะอะไร เราเทียบเคียงเลย วันนั้นทำอย่างไร? วันนี้มันไม่ดี ไม่ดีอย่างไร? นี่ปัญญาอบรมสมาธิไง นี่ไงงานของพระไง นี่ไง งานใช้สมองไง ถ้าไม่ใช้มันจะฝ่อไง ถ้าใช้สมองเป็นโลกียปัญญา โลกียปัญญามันก็เห็นโทษ

คนเรานี่ถ้า เห็นไหม ดูสิ เด็กมันไม่รู้ว่าไม้ขีดไฟมันให้โทษอย่างไร มันเอามาเล่นน่ะ มันเผาบ้านเผาเรือนของมัน ผู้ใหญ่เขารู้ว่าไม้ขีดเขาเอาไว้จุดไฟทำความสว่าง เขาเอาไว้จุดเวลาทำอาหาร นี่เขารู้ว่าสิ่งนี้ไฟนี่เอาไว้ทำประโยชน์เพื่อมาทำอาหาร เพื่อดำรงชีวิต เด็กมันเอาไปเล่นมันไม่เข้าใจของมัน มันไปจุดไฟเผานี่ เผาบ้านเผาเรือนไหม้บ้านไหม้เรือนไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจที่มันไม่รู้สิ่งใด โดยมาร เห็นไหม มันคิดของมันร้อยแปด แหม มันล่าฝัน ฝันมันเป็นก้อนเมฆ ก้อนเมฆมันลอยมา ฝนมันจะตก ฝนมันตกมาน้ำมันจะชุ่มชื่นของมันไป ชุ่มชื่นเขาจะไถนา ไถนาแล้วเขาจะหว่านข้าว หว่านข้าวแล้วมันจะออกรวง ออกรวงมาเราจะมีเมล็ดข้าว เมล็ดข้าวเราจะเก็บเกี่ยว เก็บเกี่ยวเราจะมีข้าวเต็มยุ้ง มันฝันของมันไปเรื่อยเปื่อยเลย มันไม่มีความจริงเลย นี่ไงเวลามันเพ้อเจ้อ เวลาฝันๆ ทางโลก เห็นไหม

แต่ถ้าเรามีปัญญาของเรา สิ่งที่คิดนี่สมบัติบ้าหรือเปล่า เมฆมันมามันจะตกไม่ตกน่ะ แล้วใครจะไปทำข้าว แล้วเม็ดข้าวข้าวปลูกมันอยู่ไหน มันมีแต่ข้าวสาร ข้าวปลูกมันไม่มี แล้วเราเอาอะไรไปปลูก เห็นไหม นี่มีสติปัญญา มันแยกแล้ว

นี่ไง ถ้ามีสติปัญญา เห็นไหม สติปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิ สติปัญญานี่มันเตือนใจ ถ้ามีสติมีปัญญามันแยกถูกแยกผิด คิดถูกคิดผิด ควรคิดไม่ควรคิด คิดแล้วเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ ถ้าคิดแล้วเป็นโทษไม่ควรไปคิดมัน ไม่ควรไปคิดมันแล้วจะหยุดอย่างไร ก็ความคิดมันไหลมาอย่างนี้หยุดไม่ได้ ..หยุดได้ ถ้ามีสติก็หยุดได้หมดล่ะ นี้บอกหยุดไม่ได้ เพราะหยุดไม่ได้มันถึงไหลมาอย่างนี้ไง ถ้ามันไหลขึ้นมา มันบอกหยุดได้ ไม่คิด ไม่คิดมันก็จบไง

ฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาอย่างนี้มันเกิดได้นี่เขาเรียกว่าโลกียปัญญา โลกียปัญญาพอฝึกหัดไป พอจิตมันสงบระงับเข้ามาบ่อยครั้งเข้า ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นจิตนะ นี่จิตเห็นจิต จิตเพราะอะไร จิตเห็นจิต จิตเห็นอาการของจิต อาการของจิตคือความคิดไง ความคิดนี่เป็นอาการของจิต

ความคิด เพราะความคิดเป็นพลังงานอันหนึ่ง ถ้าพอมันจับได้ เห็นไหม พอมันจับได้ ถ้ามันจับได้มันมหัศจรรย์ เราจะลงทุนลงแรง เราจะทำธุรกิจขึ้นมานี่แต่เราไม่มีโอกาสเลย แต่เวลาจิตมันสงบขึ้นมาแล้วนี่มันจับโอกาสนั้นได้ มันจับเริ่มต้น สิ่งที่เป็นธุรกิจเราได้ เราทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ มันจับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นได้ พอจับกิจกรรมที่จะเกิดขึ้น นี่ทางอาการพอมันจับได้มันมหัศจรรย์ๆ อ้อ! เพราะมันมีอาการอย่างนี้ มันถึงมีสื่อความรู้สึกออกไปข้างนอก

มันสื่อความสัญญาอารมณ์ มันสื่ออารมณ์ เห็นไหม นี่มันเสวย นี่ไงถ้ามันมีสื่อสัญญาอารมณ์ อ้อ! มันเป็นอย่างนี้ เห็นไหม ตำราก็ว่าไว้อย่างหนึ่ง ตำราเขาบอกเลย นี่รูป รส กลิ่น เสียงต่างๆ นี่ว่าไป ศึกษามาๆ นี่ล่าฝัน ความฝันอันนี้มันเป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นความฝันของเรา แต่พอเราจับต้องได้ เห็นได้ทำตามความเป็นจริงของเราขึ้นมาได้

นี่จะล่าฝันๆ มันจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันจับจริงขึ้นมามันแยกแยะของมัน มันจะพิจารณาของมัน มันพิจารณาของมัน มันทำของมัน ถ้าปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้น มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์มากกว่า มากกว่าที่มันปัญญาอบรมสมาธิ

เมฆมา ถ้ามีเมฆมา เมฆมันรวมตัวขึ้นมามันจะเกิดฝน ฝนมันเกิดมา ฝนมันจะตกมา ตกมา ดูสิ น้ำมันจะเจิ่งนอง เจิ่งนองเราจะไถหว่านของเรา ไถดะของเราไถหว่านของเรา ไถแล้วเราก็จะปักดำข้าวของเรา ไอ้นั่นมันเพ้อเจ้อ ฝันอย่างนั้นมันโลกียปัญญา โลกียะคือว่ามันสื่อสัญญาอารมณ์ไปตามมาร มารมันสื่อสัญญาอารมณ์ไป แต่มีสติปัญญาไล่ความคิดความรู้สึกนั้นไป ปัญญาอย่างนี้เป็นโลกียปัญญา ปัญญาที่มีสติปัญญาไล่ทันความรู้สึกนึกคิดของเราไป แล้วมันปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามา เห็นไหม ปล่อยเข้ามา ปล่อยเข้ามาเป็นตัวของมัน ปล่อยเข้ามาแต่เรายังไม่รู้ไม่เห็น การสื่อของมันมันสื่ออย่างไร นี่จิตพลังงาน ถ้ามันสื่อสัญญาสื่อความรู้สึกนึกคิดออกไป มันสื่ออย่างไร มันเสวยของมันอย่างไร ถ้าจิตมันสงบแล้วมันฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญามันแยกแยะขึ้นมา มันเป็นตัวของมันเองขึ้นมา เวลามันจะสื่อออกไป มันเห็นมันจับมันต้อง อ้อ! มันเป็นอย่างนี้ มันมีรสมีชาติไง

คนเจ็บไข้ได้ป่วย เราไม่รู้ว่าเราเป็นโรคอะไรเราก็ต้องไปหาหมอ พอหมอวินิจฉัยว่าเราเป็นโรคยังไงๆ เราก็แก้ไขตามโรคนั้น

จิต.. จิตถ้ามันไม่มีกำลังของมัน มันไม่มีกำลังของมัน มันวินิจฉัยตัวของมันไม่ได้ มันก็ไหลตามมันไป ตามสื่อสัญญาอารมณ์นั้น มันก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร มันไม่รู้มันภาวนาอย่างไร ไม่รู้ว่ามันจะล่าฝันของมันอย่างไร มันจะเริ่มต้นที่ไหน มันจะจบลงที่ไหน มันก็ทำไม่ได้ แต่เรามีสติปัญญาเข้ามา พอจิตมันสงบเข้ามา เห็นไหม นี่มันมีสติปัญญาของมัน มันมีวินิจฉัยของมัน เวลามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันเห็นตามความเป็นจริงของมัน ถ้าเห็นตามความเป็นจริงของมัน มันพิจารณาของมัน พอพิจารณาของมันมันถึงเป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันถึงตื่นเต้น มันถึงมีรสชาติแตกต่างกันไปไง

โลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญามันแตกต่างกัน ความแตกต่างกันแตกต่างกันเพราะเหตุใด แตกต่างกันก็เพราะผู้ปฏิบัติเขารู้ของเขาตามความเป็นจริงของเขา แต่ถ้าเรายังไม่รู้ เราศึกษามาเราก็มีแต่ใบประกาศยอมรับว่าเราศึกษามา แต่มันไม่มีความจริงของเราขึ้นมาไง

เราล่าฝันนะ ล่าความฝันความปรารถนาของเรา เราต้องทำตามความเป็นจริงของเราขึ้นมา ถ้าเราทำความเป็นจริงขึ้นมาผลมันจะเกิดขึ้นมาจากความเป็นจริงของเรา นี่ภาคปฏิบัติมันเป็นแบบนี้ ภาคปฏิบัติ เห็นไหม ปริยัติ ปฏิบัติ เพราะมีการปฏิบัติมันถึงเข้มแข็ง เพราะการปฏิบัติมันถึงจะรู้จริง เพราะการปฏิบัตินี้ถึงเป็นศาสนทายาท

จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงนั้นไม่เคยรู้เคยเห็นสิ่งใดมา ใจดวงนั้นน่ะ มันจะไปแก้ไขในหัวใจของคนอื่นได้อย่างไร ถ้าในหัวใจของเรายังมืดบอด ในหัวใจของเรายังเข้าใจหัวใจของเราไม่ได้ ถ้ามันเกิดขึ้นมานี่มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นสัญชาตญาณที่ความเกิดดับอย่างนั้น

เวลาความเกิดดับอย่างนี้ เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย พอมันเกิดขึ้นมานี่เดี๋ยวมันก็หยาบ เดี๋ยวมันละเอียด ความคิดได้ขนาดนี้ พอเราใช้ตรึกปัญญาของเราไปเรื่อยๆ ตรรกะไปเรื่อย เดี๋ยวมันละเอียดไปกว่านี้ คือมันไม่มีฐานที่มั่นคง มันไม่มั่นคงของมัน เห็นไหม ดูมันไม่มั่นคง มันไม่มีความจริงของมัน มันเป็นอนิจจัง มันเป็นสัญญาอารมณ์ มันไม่เป็นจริงของมัน

แต่ถ้าเป็นความจริงของมัน ความจริง สัจจะคือสัจจะ ใครทำสมาธิได้ สมาธิก็คือสมาธิ ถ้ามีผู้ที่ทำนายไว้พูดถึงสมาธิเราจะรู้ได้เลยว่าสมาธิของใครแน่นขนาดไหน แล้วถ้าเกิดฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้ามีใครใช้สมาธิแล้วนี่ฝึกหัดใช้ปัญญาไม่ได้มันอยู่ได้แค่สมาธินั้น ฟังรู้เลย พูดอย่างไรมันไหลลงมาอยู่ที่โลกียปัญญาหมดเลย เพราะโลกียปัญญาอันนี้ มันทำให้จิตใจนี้ขึ้นมาเป็นสมาธิได้ไง พูดถึงเหตุได้แค่นั้นไง เหตุที่เราทำอย่างไรถึงจะขึ้นเป็นสมาธิได้ พอเหตุที่มันทำสมาธิได้ก็พูดแต่เรื่องโลกียปัญญา มันพูดเรื่องภาวนามยปัญญาขึ้นมา เป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วนี่มันฝึกหัดใช้ปัญญาของมัน แล้วเกิดเป็นภาวนามยปัญญาขึ้นมา นี่ถ้ามันทำของมันได้มันก็เป็นตทังคปหาน คือใช้ภาวนามยปัญญาแต่มันไม่ถึงที่สุด คือมันสมุจเฉทปหานไม่ได้ มันทำให้สรุปไม่ได้ มันก็เป็นโสดาปัตติมรรค แต่ไม่เป็นโสดาปัตติผล โสดาปัตติมรรคเวลาเสื่อม เห็นไหม เวลาเสื่อมสภาพมา มันก็ลงไปสู่ปุถุชนเหมือนกัน

แต่ถ้าเรามีปัญญาของเรานี่เราฝึกฝนของเรา เราจะล่าฝันของเราให้เป็นความจริงของเรา เราพิจารณาของเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะปล่อยมาขนาดไหนก็ทำอยู่นั้นน่ะ ทำแบบพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นะ เวลาตั้งปรารถนาสิ่งใดแล้วพยายามจะทำให้ประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำของเราเราทำของเราให้ได้ ทำของเราให้ได้ พิจารณาซ้ำ พิจารณาซาก ถ้ามันเสื่อมไปแล้ว มันพิจารณาแล้วมันตกทุกข์ได้ยาก เราก็พยายามมาพักความสงบ เวลาภาวนามันเหนื่อยนะ เวลาใช้ปัญญานี่เหนื่อยมาก เวลาทำความสงบของใจนี่มันก็พยายามกำปั้นทุบดิน พยายามทำให้มันสงบให้ได้ แต่เวลาใช้ปัญญาไปแล้วนี่ มันออกไปนะ มันฟาดฟันระหว่างธรรมกับกิเลสมันต่อสู้กันนะ มันเหนื่อยมาก มันเหนื่อยสุดๆ พอเหนื่อยสุดแล้วพอจิตมันใช้ปัญญาไปแล้วนี่ สมาธิมันจะอ่อนลงๆ พออ่อนลงมันจะเป็นสัญญาแล้วล่ะ

พอสัญญานี่ถ้าคนมันไม่มีครูบาอาจารย์ มันก็ถูไถทำไปอย่างนั้นล่ะ ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ บอกว่าปล่อยเถอะ วางไว้ก่อน นี่กลับมาสร้างกำลังของเรา กลับมาทำความสงบของใจให้มีกำลังเข้ามาก่อน พอมีกำลังแล้วค่อยกลับเข้าไปพิจารณาใหม่ พอกลับไปพิจารณาใหม่ พิจารณาใหม่มันก็ขาด มันก็ปล่อย มันก็วาง มันสมความปรารถนาไปหมดเลย เห็นไหม

นี่การล่าฝัน การล่าฝัน ความฝันของเราคือสัจธรรม คือความจริงที่มันมีของมันอยู่ ฉะนั้นถ้าเราจะทำจริง ถ้าเราเป็นความจริงขึ้นมามันไม่ใช่ความฝันแล้ว มันเป็นความจริงแล้ว เพราะความจริงคือเราทำจริงๆ ศีล สมาธิ ปัญญาเกิดจริงๆ เวลามรรค มรรคเกิดจริงๆ เวลาสมุจเฉทปหานมันขาดจริงๆ ถ้าขาดจริงๆ มันก็จบไง นี่คือผลประโยชน์ของเรา เราตั้งใจทำกันที่นี่นะ

ตั้งแต่เข้าพรรษา เรามีความฝันนะ เรามีความฝัน มีความปรารถนา มีเป้าหมาย ที่เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา แล้วเราต้องตั้งสติ ตั้งสติของเรานะ มันจะทุกข์จะยากมันเป็นเรื่องหน้าที่การงาน มันเป็นเรื่องธรรมดา อาบเหงื่อต่างน้ำ คนเราเวลาทำสัมมาอาชีวะนี่เขาต้องอาบเหงื่อต่างน้ำของเขาอยู่แล้ว

นี้เราจะมาประพฤติปฏิบัติ มันจะเอาความสะดวกเอาความสบายมาจากไหน มันจะต่อสู้กับกิเลส มันยิ่งละเอียดอ่อนนะ อ้อยสร้อยอ้อยอิ่งน่ะ เราจะต้องละเอียดลึกซึ้ง ถ้าไม่ลึกซึ้งนะ เราเอาความคิดหยาบๆ เข้าไปจับสิ่งที่เป็นความละเอียดจับไม่ได้ มองไม่เห็นหรอก ฉะนั้น เราจะต้องทำให้จิตใจเราละเอียด จิตใจเราควรแก่การงาน แล้วเราฝึกหัดใช้ของเรา งานอย่างนี้งานรื้อภพรื้อชาติ งานอย่างนี้มันเกิดกลางหัวใจนะ

เวลามันเกิดขึ้นมา เห็นไหม ระหว่างกิเลสกับธรรมมันต่อสู้กัน ถ้าจิตมันสงบดี มันมีพื้นฐานดีมันมีความสุข แต่เวลามันเสื่อมมา กิเลสมันแก่กล้าขึ้นมานี่ทุกข์มาก ถอยกรูดๆ เลย นี่เวลาเกิดความสุขเกิดความสงบระงับเราก็พอใจ เวลามันเสื่อมมันเสื่อมยังไง มันมีเจริญแล้วเสื่อม ถ้าคนไม่เคยเจริญเลย เอาอะไรมาเสื่อม คนเรามันต้องมีเจริญขึ้นมาสิมันถึงเสื่อม พอเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญนี่ เราก็แก้ไขของเรา ต่อสู้ของเรา ถึงที่สุดแล้วเวลาพิจารณาไปแล้วมันขาดนะ สมความปรารถนา กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕

นี่ความจริงอย่างนี้ มันจะเกิดขึ้นมาจากหัวใจที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามความจริงนะ ผู้ใดปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธจ้าบอกกับสุภัททะไว้ เห็นไหม ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนาไหนไม่มีผล เธออย่าถามให้มากไปเลย รีบประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ศาสนาไหนไม่มีมรรคแล้วมรรคมันเป็นอย่างไร มรรคมันเป็นอย่างไร มันเป็นในกระดาษนั้นเหรอ มรรคมันก็ต้องเกิดขึ้นมาจากการกระทำสิ ที่ล้มลุกคลุกคลานนี่ ไอ้นั้นมันเป็นชื่อทั้งนั้นน่ะ เราทำเป็นความจริงขึ้นมา

ถ้าความจริงศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล แล้วมรรคญาณมันเกิดกลางหัวใจนี่ ถ้ามันเกิดเป็นมิจฉา เห็นไหม มรรคอย่างนี้เกิดขึ้นมามรรคของกิเลส มันสร้างสมมาเป็นกงจักร แต่ถ้าเป็นธัมจักรล่ะ ธัมจักร เห็นไหม นี่มันสงบระงับ มันปล่อย มันวางอย่างไร มรรคมันเกิดขึ้น ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนาไหนไม่มีผล

เรามีความฝัน เรามาล่าฝันของเรา เราพยายามสร้างความจริงของเราให้เกิดขึ้นมา ถ้าในมรรคญาณเกิดขึ้นมากับใจของเรา เดี๋ยวผลนะ ผลที่มันเกิดขึ้นตามความเป็นจริง เราจะกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า ซึ้งใจในหัวใจของเรา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เอวัง